
คะน้า
คะน้า เป็นผักใบเขียวที่นิยมรับประทานกันทั่วโลก มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน แคลเซียม ธาตุเหล็ก ไฟเบอร์ เป็นต้น ลักษณะคะน้า ลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร มีใบเรียงสลับกัน ใบกว้าง สีเขียวเข้ม ก้านใบแข็ง
ผักคะน้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Brassica oleracea var. Alboglabra อยู่ในวงศ์กะหล่ำ (Brassicaceae) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชีย นิยมปลูกในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ปลูกคะน้าเป็นพืชผักสวนครัวกันอย่างแพร่หลาย คะน้าเป็นผักอายุ 2 ปี แต่ปลูกเป็นผักฤดูเดียว อายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 50-55 วัน สามารถปลูกได้ตลอดปี แต่เวลาที่ปลูกได้ผลดีที่สุดในช่วงเดือนตุลาคม – เมษายน
ประโยชน์ของ คะน้า
ผักคะน้าเป็นผักใบเขียวที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ประโยชน์คะน้ามีต่อสุขภาพหลายประการ ดังนี้
- บำรุงสายตา ผักคะน้ามีวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน และโรคต้อกระจก
- บำรุงผิวพรรณ ผักคะน้ามีวิตามินซีสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส เนียนนุ่ม
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ผักคะน้ามีวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ต้านทานโรคต่างๆ
- ป้องกันโรคมะเร็ง ผักคะน้ามีวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน และสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม
- ป้องกันโรคหัวใจ ผักคะน้ามีแคลเซียมและไฟเบอร์สูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการควบคุมความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอล
- ป้องกันโรคเบาหวาน ผักคะน้ามีไฟเบอร์สูง ซึ่งมีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ผักคะน้ามีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์
แนะนำเมนูอาหารจากผักคะน้า
คะน้าสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งเมนูผัดคะน้า เมนูต้ม เมนูแกง และเมนูยำ เป็นต้น เมนูคะน้านอกจากจะอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ


- คะน้าฮ่องกงน้ำมันหอย
- คะน้าหมูกรอบ
- คะน้าปลาเค็ม
- คะน้าปลากระป๋อง
- ต้มจับฉ่าย
- ยำก้านคะน้า
วิธีการปลูกคะน้า ปลูกง่าย ปลูกไว้กินเองได้ที่บ้าน
คะน้าเป็นผักที่ปลูกง่ายและสามารถปลูกได้ตลอดปี วิธีปลูกคะน้าที่ถูกต้องจะช่วยให้ได้ผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพ
- การเตรียมดิน ดินสำหรับปลูกคะน้าควรเป็นดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปในดินเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์
- การหว่านเมล็ด คะน้าสามารถปลูกได้ทั้งการหว่านเมล็ดและย้ายกล้า การหว่านเมล็ดนิยมใช้สำหรับการปลูกคะน้าในแปลงปลูกขนาดใหญ่ ส่วนการปลูกคะน้าในกระถางหรือแปลงปลูกขนาดเล็กนิยมใช้วิธีย้ายกล้า
- การให้น้ำและปุ๋ย คะน้าเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก จึงควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ในช่วงที่มีอากาศร้อนควรรดน้ำให้บ่อยขึ้น การให้ปุ๋ยควรให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง คือ หลังจากถอนแยกครั้งแรกและหลังจากถอนแยกครั้งที่ 2
- การป้องกันศัตรูพืชและโรค คะน้าเป็นผักที่มักถูกทำลายโดยศัตรูพืชและโรคต่างๆ เช่น หนอนกระทู้หอม หนอนคืบหอย เพลี้ยอ่อน โรคใบจุด โรคราสนิม โรคใบไหม้ เป็นต้น ควรหมั่นตรวจแปลงปลูกเป็นประจำ หากพบศัตรูพืชหรือโรคให้รีบทำการกำจัดโดยวิธีที่เหมาะสม
- การเก็บเกี่ยว คะน้าสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 50-55 วัน หลังปลูก สังเกตได้จากใบคะน้าจะอวบ แน่น ก้านคะน้าจะอวบ อ่อนนุ่ม
เคล็ดลับการปลูกคะน้า ให้ได้ผลผลิตดี
- เลือกเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี
- เตรียมดินให้เหมาะสม
- รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ
- ให้ปุ๋ยอย่างเพียงพอ
- ป้องกันศัตรูพืชและโรค
- เก็บเกี่ยวผลผลิตเมื่อถึงเวลา
ด้วยวิธีการปลูกคะน้าที่ถูกต้อง จะช่วยให้ได้ผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพ สามารถนำมาใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู
แนะนำผักชนิดอื่นๆ ที่ปลูกเองได้ที่บ้าน : ตะไคร้